เคล็ด (ไม่) ลับ มือนุ่มน่าสัมผัส

 

ใครก็ต้องอยากสัมผัสมือนุ่ม ๆ ของคุณแน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้มือแห้งเหี่ยวและแห้งกร้าน เรามาเริ่มบำรุงมือของเราให้นุ่มชุ่มชื่นดีกว่า

      1. ล้างมือด้วยน้ำอุ่น ต้องอุ่นจริง ๆนะ ไม่ใช่น้ำร้อนที่เพิ่งลงจากเตา อย่างนั้นไม่เอานะ ล้างแล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง

    2. บำรุงด้วยครีมบำรุงมือโดยเฉพาะ หรือครีมที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น หลังล้างมือทุกครั้ง ช่วยให้มือนุ่มนิ่ม

3. ขัดขจัดเซลล์ที่เสียให้หลุดไป อย่างน้อยคุณควรขัดหลังมืออาทิตย์ละครั้ง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับขัดผิว ขัดเพื่อให้ผิวหนังได้ผลัดเซลล์ ทำให้ผิวไม่หยาบกร้านอีกต่อไปค่ะ

ที่มา … Woman’s Story

สลัดความง่วง หลังมื้อเที่ยงกันเถอะ!

 

 

คงไม่ปฏิเสธใช่ไหมคะ..สาวๆ ออฟฟิศ พอหลังมื้อเที่ยงทีไร ตกบ่ายมาก็ง่วงหงาวหาวนอน รู้สึกขี้เกียจไม่อยากจะทำอะไร หาก เป็นแบบนี้ทุกวันคงไม่ดีแน่ มาทำให้หลังมื้อเที่ยงของคุณกระปี้กระเปร่ากันเถอะค่ะ….

      ทานอาหารเช้าหลังจากตื่นนอน 1 ชั่วโมง เติมพลังให้พร้อมลุยกับวันใหม่ด้วยมื้อเช้ากับเมนูโปรตีน ทานให้อิ่มพอเหมาะ ช่วยปรับระดับน้ำตาลในร่างกายให้สมดุลตลอดทั้งวันค่ะ

เมนูมื้อเที่ยงที่ให้พลังงานสูง อย่างอาหารประเภทโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต เช่น อาหารทะเล ไก่ เนื้อ เต้าหู้ ถั่ว รวมทั้ง ผักผลไม้เติมความสดชื่น จะสามารถทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้นนะคะ

หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงที่ทำให้เกิดอาการง่วงและซึมเศร้า ทั้งเมนูของทอด ๆ ทั้งหลาย ชีส เนย ที่ต้องใช้พลังงานในการ เผาผลาญสูง เก็บไว้ทานมื้ออื่นจะดีกว่าค่ะ มิฉะนั้นจะลืมตาไม่ขึ้นเอาได้นะคะ

งดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะสารคาเฟอีนในชาและกาแฟจะทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายไม่คงที่ แล้วยังทำให้ร่าง กายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปด้วย นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังทำให้มีอาการง่วงซึมได้ค่ะ

ดื่มน้ำเปล่าเติมความสดใส ตอนบ่ายช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการผลิตเมทาบอลิซึม ซึ่งเป็นตัวเผาผลาญไขมันได้ดีและยังทำ ให้ผิวพรรณสวยใสอีกด้วยนะคะ

ที่มา … Woman’s Story

เพิ่มฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี

 

หนุ่มคนไหนอยากมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนุ่มนานๆ มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ต้องตาติดใจสาวๆ เพียงทำตาม 10 วิธีนี้ที่จะทำให้ฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสเทอโรน) ของคุณเพิ่มขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมัน สร้างกล้ามเนื้อทำให้เปอร์เซ็นต์การเป็นมะเร็งน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และที่สำคัญคือแก่ช้าลง

         แต่ถ้าไม่มีฮอร์โมนนี้อารมณ์ทางเพศก็จะลดน้อย เหนื่อยง่าย เก็บสะสมไขมันเยอะ กลายเป็นหนุ่มลงพุงไปในที่สุด …อย่ารอช้ารีบมาเพิ่มฮอร์โมนกันเถอะ

1. ออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก ซึ่งจะช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมานานถึง 48 ชั่วโมง นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีฮอร์โมนเพศชายมาช่วยดูแลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันดีขึ้น สร้างกล้ามเนื้อดีขึ้นไปถึง 48 ชั่วโมง ต่อการยกน้ำหนัก 1 ครั้งเลย สำหรับการยกที่ดีคือการยกที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามัดเดียว อย่างเช่น ท่าที่ต้องใช้ทั้งหลัง แขน อก ไหล่ แต่ก็ควรระวังคือ ควรเริ่มการยกจากน้ำหนักน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ใช้น้ำหนักมากเลย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

2. ดูกีฬา อาจจะงงว่าทำไมดูกีฬาแล้วฮอร์โมนเพศชายถึงสูงขึ้นได้ นั่นก็เพราะว่าการดูกีฬาโดยเฉพาะได้เชียร์ทีมที่คุณชอบจะทำให้ร่างกายเรา ตื่นเต้น มีความสุข และทำให้ฮอร์โมนเพศชายพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15-20% ยิ่งถ้าทีมที่คุณเชียร์ชนะ และทำให้คุณเกิดอาการดีใจและมีความสุขมาจากจิตใต้สำนึก ฮอร์โมนเพศชายจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 20% แต่ถ้าทีมแพ้จะเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 10% แต่แม้ว่าทีมที่คุณเชียร์จะแพ้หรือชนะ ยังไงก็ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนให้คุณอยู่ดีนี่นา

3. กินไขมันดี ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน ที่พบมากในน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน และไขมันโอเมก้า 3 6 9 ที่พบในปลา ถั่ว อโวคาโด้ ไขมันพวกนี้สามารถกินเยอะได้ไม่อ้วน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนเพศชาย ถ้ามีเยอะร่างกายก็ยิ่งพัฒนา และซ่อมแซมตัวเองได้ดี

4. กินไข่ คนชอบคิดว่ากินไข่แล้วไม่ดี มีคอเลสเตอรอลเยอะ ซึ่งไม่จริง เพราะคอเลสเตอรอลจากไข่เป็นคอเลสเตอรอลดี (HDL) ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมร่างกาย แล้วในไข่ยังมีธาตุสังกะสี วิตามินบี ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายด้วย

5. ออกกำลังกายแค่พอเหมาะและผ่อนคลายบ้าง บางคนชอบคิดว่าเราต้องออกกำลังกายเยอะๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี เดี๋ยวไม่มีกล้าม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ในทางกลับกันถ้าเราไม่พัก เอาแต่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันร่างกายเราก็จะเครียด มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อ และยังทำให้ฮอร์โมนไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างตัว ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายเครียดเข้าไปอีก เพราะต้องรีบซ่อมแซม ดังนั้น อย่าออกกำลังกายมากเกินไป ควรออกประมาณ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว

6. นอนให้พอ เคยมีพิสูจน์มาแล้วว่าคนที่นอนไม่พอฮอร์โมนจะตกไป 30% แล้วก็จะทำให้เก็บสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนให้พอ ผู้ใหญ่อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ที่สำคัญควรนอนให้เป็นเวลา อย่างเคยนอน 3 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรทำให้เป็นประจำ ซึ่งการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว

7. กินกะหล่ำ ผลการวิจัยจาก Rockefeller University ในนิวยอร์กบอกไว้ว่าในกะหล่ำจะมีสารอินโด 3 คาร์มินอล (indole 3-carbinol) หรือ IC3 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ ขึ้นมาได้เยอะแล้วผลการวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่เพิ่งได้รับสาร IC3 จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงไปถึง 50% ซึ่งสำหรับสาวๆ แล้วอาจจะไม่ดี แต่สำหรับผู้ชายถือว่าดีมากเชียวละ

8. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มให้น้อยที่สุด เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซนหลั่งออกมามากเป็น พิเศษ ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติโซนนี้จะหลั่งออกมาตอนที่เราเครียด แล้วส่งผลทำให้เกิดการเก็บไขมันมากขึ้น แถมยังลดกล้ามเนื้อ ดังนั้น ถ้าอยากมีกล้ามโตๆ ไว้อวดใครๆ ก็ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว

9. กินวิตามินอีเยอะๆ วิตามินอีเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ มีสารด้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องเซลล์ไม่ให้เกิดความเสียหาย และถ้ากินวิตามินอีในปริมาณ 1,300 IU/วันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น

10. โดนแดดบ้าง อย่ามัวกลัวตัวดำแล้วหลบแดดอยู่แต่ในบ้าน ออกไปข้างนอกให้ร่างกายสัมผัสแดดบ้าง อย่างน้อยสักวันละ 15-20 นาที นอกจากจะได้รับวิตามินดีแล้ว ยังจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นมา 120-200% แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแดดตอนเที่ยงนะ แดดช่วงเช้าหรือเย็นจะดีที่สุด อาจจะเลือกวิธีโดนแดดด้วยการวิ่งตอนเช้าก็จะทำให้สุขภาพดีควบคู่ด้วย

เห็น ไหมล่ะ 10 วิธีการเป็นหนุ่มสุขภาพดีพลังแมนเกินร้อยไม่ยากอย่างดีคิด ทำแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นหนุ่มตลอดกาลที่สุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยากเลย

ที่มา … หนังสือสุขภาพดี

คัมภีร์สุขภาพ ฉบับ “ไร้กาลเวลา”

 

 

 

วัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่ร่างกายพัฒนาถึงจุดสูงสุดในหลาย ๆ ด้าน แต่บางด้านเราก็สามารถพัฒนาได้ คุณจะได้มีสุขภาพดี ความคิด เฉียบแหลม ไม่ว่าจะอายุเท่าไรแล้วก็ตาม

     1. แรงขับทางเพศ

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 18

คำแนะนำ กินตับวัวสัปดาห์ละครั้งโดยนำไปทอดในกระทะทรงตื้นที่ใช้น้ำมันน้อย เพื่อคงสภาพธาตุเหล็กและโปรตีน ความ สามารถในการสูบฉีดเลือดสู่ ส่วนปลายของร่างกายจะลดลงตามวัย การกินเนื้อแดงที่อุดมด้วยธาตุเหล็กจึงช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือด สู่ส่วนปลายอวัยวะเพศของคุณได้ดีขึ้น “พออายุเยอะขึ้น ไขมัน ที่สะสมในหลอดเลือดจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ช้าลง” ดร.ซาร์ลส คลาร์ก ศัลยแพทย์ที่ปรึกษาและผู้เขียน The Age Revolution : The Drug-free Plan to Stay Fit, Young and Healthy กล่าว ” ถึงจะขัดกับความเชื่อทั่วไป แต่ผมพบว่าคนที่กินเนื้อแดงและไขมันอิ่มตัวมากที่สุดจะมีคอเลสเตอรอลต่ำที่ สุด และนั่นก็จะทำให้ เลือดไหลเวียนได้เร็วขึ้น” คุณหมอมั่นใจพอที่จะขอเดิมพันด้วยชื่อเสียงเลยทีเดียว

     2. ความสามารถในการแก้ปัญหา

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 19

คำแนะนำ ฝึกแก้ปัญหา “เชาวน์” อย่างปัญหาในเว็บไซต์ brainworkshop sourceforge.net วันละ 20 นาที เชาวน์ก็คือ ความสามารถในการให้เหตุผลอย่างรวดเร็วและคิดอย่างเป็นนามธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวัยรุ่น ตอนปลายที่โครงข่าย ประสาทยังสดใหม่ “คนที่อายุน้อยกว่าเลยคิดในเชิงตรรกะ และเชิงอนุมานได้ดีกว่า” ดร.เจน พรินซ์ นักจิตวิทยา บอก ตอนอายุ 19 ระบบทางเดินประสาทยังไม่มีแบบแผนตายตัว คุณเลยปรับกระบวนการทางความคิดได้ดีกว่า และปัญหาประเภทที่ต้องใช้การคิด นอกกรอบก็จะทำให้คนทุกวัยได้ฝึกใช้ทักษะนี้

     3. ความอึด

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 22

         คำแนะนำ “ตอนอายุเท่านั้น อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจจะอยู่ในระดับสูงสุด จากนั้นจะเริ่มลดระดับลง” ดร.วาเลอรี แกลด เวลล์ รองศาสตราจารย์ด้านสรีรวิทยา กล่าว “ในแต่ละจังหวะการเต้น หัวใจคุณจะสูบฉีดเลือดได้น้อยลงปริมาณการดูดซึม ออกซิเจนสู่กล้ามเนื้อก็เลยลดต่ำลง” วิธีแก้คือต้องฝึกร่างกายให้ดูดซึมออกซิเจนได้ดีขึ้น ซึ่งการฝึกหายใจด้วยอุปกรณ์ Powerbreathe จะช่วยเพิ่มความอึดของกล้ามเนื้อหายใจได้ถึง 27.8 เปอร์เซ็นต์ (powerbreathe.com) ขณะที่การออกกำลังกาย บนที่สูงจะบีบให้ร่างกายต้องผลิตฮีโมโกลบิน (ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดสู่เนื้อเยื่อ) ในปริมาณที่สูงขึ้น

     4. ความจำ

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 28

         คำแนะนำ ฝึกความจำโดยใช้แอพพลิเคชั่น Memory Trainer ใน urbian.biz “การวิจัยชี้ให้เห็นว่าคุณจะความจำดีที่สุดตอน อายุ 20 ปลาย ๆ” ดร.พรินซ์กล่าว และความจำระยะสั้นจะช่วยให้คุณความจำดี เหมือนเดิม “ให้เสริมสร้างความจำระยะสั้นโดยเลิก ใช้สมุดบันทึกสักสัปดาห์จดจำนัดหมายและกำหนดการสำคัญ ๆ ให้ได้ แต่ถ้าลืมก็ต้องหาวิธีจัดการกับสิ่งที่ทำให้คุณสับสน” อีกวิธี หนึ่งคือฝึกจำเบอร์โทรศัพท์ใหม่ๆ ให้ได้สักวันละเบอร์

     5. มวลกล้ามเนื้อ

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 30

         คำแนะนำ บริหารกล้ามเนื้อแบบ Floor Exercise ด้วยท่าที่เน้นแกนกลางลำตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 75 นาที “ร่างกายคุณ จะแข็งแรงที่สุดตอนอายุประมาณ 30 ปี จากนั้นมวลกล้ามเนื้อจะลดลงตามวัย” ดร.แกลดเวลล์บอก “ปัญหานี้แก้ได้ ด้วยการบริหาร กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวด้วยท่าที่เหมาะสมทุกสัปดาห์ โดยใช้เวลาครั้งละ 10 นาทีเป็นอย่างน้อย” ดร.แกลดเวลล์แนะให้คุณเริ่ม ด้วยท่าบริหารง่าย ๆ นั่นคือ “ตั้งท่าคลานโดยยกแขนข้างหนึ่งและขาข้างตรงข้ามพร้อม ๆ กัน จากนั้นสลับข้าง และทำซ้ำ” อย่า เหนื่อยจนผล็อยหลับคาพื้นก็แล้วกันนะคุณปู่

     6. ความสัมพันธ์

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 32

คำแนะนำ ดร.พรินซ์ บอกว่า ถ้าอยากให้เธอมีความสุข คุณต้องลดอัตตาลงบ้าง และนี่ก็เป็นสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดตอนอายุ 32 ซึ่งเป็นจุดสมดุลทางจิตวิทยาระหว่างความเป็นหนุ่มเป็นสาวกับความมี ประสบการณ์ “คุณจะเชื่อมั่นในการตัดสินใจมากขึ้น แต่ก็ยังมี พังอย่างเหลือเฟือ” ดร.พรินซ์แนะนำให้บริหารความคิดโดย “วาดภาพว่าคุณกำลังพิจารณาความสัมพันธ์ของตัวเอง และคิดหา ทางออกที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการที่คุณเป็นตัวเอก” เธอบอก “การเข้าใจว่าอัตตาต้องเป็นรองคือสิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณ ดำเนินไปด้วยดี” แล้วก็ต้องรู้จักเอาอกเอาใจคุณแม่ของเธอด้วย

     7. เซลล์สมอง

        พัฒนาถึงจุดสูงสุดตอนอายุ 45

คำแนะนำ ปกป้องสมองด้วยการตัดน้ำตาลออกไปจากชีวิตของคุณ เพราะการกินน้ำตาลมากเกินไปจะเป็นการทำลาย โปรตีนในเซลล์ประสาท ซึ่งเริ่มตายตอนอายุ 45 และทำให้ผนังเซลล์อ่อนแอจนทำลายตัวเองเร็วขึ้น “เซลล์ประสาทประกอบด้วย โปรตีนและไขมันเป็นหลัก” ดร.คลาร์กกล่าว “ฉะนั้นการเติมเต็มโปรตีนและกรดอะมิโนก็คือเคล็ดลับที่จะช่วยลดทอนผลเสีย ซึ่ง เกิดจากวัยที่ร่วงโรย” และคุณก็ยังสนองความอยากกินของหวาน ๆ ได้ ด้วยสารสกัดจากพืชอย่างทรูเวีย (Truvia) ที่ใส่ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารจนถึงกาแฟ แค่เปลี่ยนมาใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ก็ช่วยปกป้องสมองได้แล้วล่ะ

ที่มา … Men’s Health

อายุกับการออกกำลังกาย

 

 

 

ด้วยวัยที่ต่างกัน สภาพร่างกายก็ย่อมแตกต่างกัน การออกกำลังกายที่เหมาะสมก็ต้องเหมาะกับวัยต่างๆ มิฉะนั้นก็อาจเกิดโทษได้

     วัยเด็ก

        เด็กๆ ก่อนวัยอนุบาล ควรปล่อยให้เล่นตามใจชอบ การวิ่ง กระโดด ปีนป่ายเป็นวิธีของธรรมชาติสำหรับส่งเสริมการเติบโต ผู้ใหญ่คอยแต่ระวังป้องกันอันตราย เด็กที่ไม่ชอบเล่นควรกระตุ้นและชักจูงให้ออกกำลังบ่อยๆ จนเปลี่ยนนิสัยได้
      ในวัยอนุบาลเด็กๆ ควรหัดท่ากายบริหารง่ายๆ อาจจัดในรูปของการฟ้อนรำหรือการเล่นสนุก การปีนป่ายเป็นเรื่องของธรรมชาติและมีประโยชน์ ควรระวังเพียงไม่ให้กระทำอย่างเสี่ยงอันตราย การออกกำลังหนักยังไม่ควรให้ทำเพราะหัวใจยังเจริญไม่เต็มที่ ควรปล่อยให้วิ่งเล่นตามใจโดยไม่พยายามบีบบังคับ การพักผ่อนภายหลังเล่นควรจะกำหนดให้พอเพียงเสมอ
  เด็กในวัยประถม (อายุ ๗-๑๒ ปี) ควรมีเวลาเรียนพลศึกษาสัปดาห์ละ ๒-๓ ชั่วโมง และเล่นกีฬาที่ยากขึ้นเป็นลำดับ ให้เหมาะกับสภาพของสมองและร่างกาย การวิ่งและกระโดดช่วยเสริมการเติบโตและทำให้ความอดทนดีขึ้นเรื่อยๆ ในวัยนี้ยังไม่ต้องแยกเด็กชายกับเด็กหญิง แต่ต้องระวังการเล่นหนักเกินไปและต้องแน่ใจว่าได้รับอาหารและการพักผ่อน เพียงพอ
เด็กในวัยมัธยม (อายุ ๑๓ ปีขึ้นไป) ควรแยกระหว่างหญิงกับชาย เพราะความแตกต่างระหว่างเพศเริ่มปรากฏชัดเจน เด็กหญิงควรให้เล่นกีฬาที่ส่งเสริมทรวดทรงให้สวยงาม การเคลื่อนไหวนุ่มนวลชดช้อยนาฎศิลป์ (ซึ่งเป็นการออกกำลังแบบหนึ่ง) ของไทยเรามีประโยชน์ในเรื่องนี้ไม่แพ้การเต้นรำปลายเท้าหรือบัลเล่ต์ของ ฝรั่ง กีฬาของเด็กชายบางอย่างก็ใช้ได้สำหรับเด็กหญิง แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะสม เช่น ตะกร้อฟุตบอล ซึ่งนอกจากไม่เหมาะในเรื่องความงดงามทางจิตใจแล้ว ยังอาจทำอันตรายต่อสุขภาพด้วย สำหรับเด็กชายในวัยนี้กล่าวโดยสรุปว่าเล่นได้เหมือนผู้ใหญ่เว้นแต่ ต้องลดความหนักและรุนแรงลงบ้าง ต้องระวังการตกจากที่สูงและหกล้มรุนแรง เพราะอาจทำอันตรายต่อแนวงอกของกระดูก ทำให้การเติบโตชะงักงัน

     วัยหนุ่มสาว (อายุ ๑๘-๒๕ ปี)

ระยะนี้เป็นเวลาที่สมรรถภาพทางกายดีที่สุด การออกกำลังกายจะใช้วิธีใดก็ได้ทั้งนั้น แต่พึงระวังไม่ให้หนักหรือมากเกินสมควร ในปัจจุบันนี้มีความโน้มเอียงที่ผู้หญิงจะทำตนเสมอกับผู้ชาย ในเรื่องอื่นๆ เป็นการสมควรอยู่ แต่ในเรื่องการกีฬาหรือออกกำลังกายเป็นการไม่สมควรเพราะธรรมชาติสร้าง ผู้หญิงมาเป็น “แม่” มีความอ่อนหวานนุ่มนวล จิตใจอ่อนโยน ส่วนผู้ชายนั้นเป็น “พ่อ” ผู้ต้องหาอาหารและปกป้องครอบครัว ร่างกายบึกบึนและมีจิตใจเข้มแข็ง องอาจ การที่ผู้หญิงจะเล่นกีฬาเหมือนผู้ชายไปเสียทั้งหมด นอกจากขัดกับประเพณีนิยม ยังอาจมีผลร้ายต่อร่างกายเนื่องจากความรุนแรง ความหนัก หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะและผลทางใจอีกด้วย

     วัยผู้ใหญ่หรือวัยฉกรรจ์ (อายุ ๒๖-๓๕ หรือ ๔๐ ปี)

          ในครึ่งระยะเวลาแรกร่างกายกำลังแข็งแกร่งเต็มที่ พ้นจากนั้นแล้วก็เริ่มเสื่อม ในระยะแข็งแกร่งจะเล่นกีฬาอะไรก็ได้ รวมทั้งกีฬาแข่งขันต่างๆ แต่ใน ระยะหลังต้องลดความหนักลงและงดการแข่งขันในประเภทหนักมากๆ

    วัยกลางคน  (อายุ ๓๕ หรือ ๔๐-๕๕ ปี)

ในวัยนี้กำลังความคิดขึ้นสูงเต็มที่ แต่กำลังกายและสมรรถภาพทางกายลดลงเรื่อยๆ ผู้ที่เคยออกกำลังมาก่อนแล้วพึงระลึกถึงความจริงข้อนี้ มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายเนื่องจากออกกำลังหนักเกินไป เพราะคิดว่ายังแข็งแรงเช่นแต่ก่อน

    วัยสูงอายุ  (อายุ ๕๕ ปีขึ้นไป)

         เมื่ออายุย่างเข้าขั้นนี้ความตกต่ำของร่างกายมักปรากฏชัดเจน แต่ก็ยังออกกำลังได้ และจำเป็นต้องออกกำลัง เพื่อรักษาสภาพและ “ชะลอชรา” การออกกำลังและการกีฬาของคนปูนนี้จำเป็นต้องกำหนดเป็นพิเศษ ให้เหมาะกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในร่างกาย มีข้อที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ
(1 หลีกเลี่ยงการออกกำลังที่มีการแบ่งหรือออกแรงหนักอย่างกะทันหัน เช่น ยกน้ำหนัก กระโดด ฯลฯ
(2 หลีกเลี่ยงการแข่งขันแม้แต่ฉันมิตร (ยกเว้นผู้ที่เคยแข่งขันติดต่อมาตั้งแต่ยังหนุ่ม)
(3 หลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้ความเร็วสูง
(4 หลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หนักและติดต่อไปเป็นเวลานาน

ที่มา … สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ

เมนุไอติม สุขภาพ

อากาศบ้านเราคงจะยากที่จะอดใจลิ้มรสไอติมรส ชาติเย็นๆ แต่สำหรับสาวที่กำลังไดเอท ไอติมธรรมดาๆ คงจะเพิ่มน้ำหนักได้ไม่น้อย มาดูไอติมรสชาติของสาวๆ ไดเอทกัน

1. Frozen Yogurt
          สาวๆ หลายคนรู้จักเจ้า Frozen yogurt นี้เป็นอย่างดี เพราะมีขายกันเยอะแยะมากมาย ไอติมชนิดนี้เป็นไอติมที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์และส่วนใหญ่ ไขมันจะต่ำสุดๆ เลย เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไดเอท รสชาติอร่อย ชื่นใจ

2. Sherbet
          ไอติมผลไม้ที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล และไข่ขาว และไม่ใส่นมหรือครีม แต่บางทีเราก็จะพบไอติมเชอร์เบทที่มีส่วนผสมของนมหรือครีมบ้าง เพื่อให้เนื้อของไอติมแน่นและเข้มข้นขึ้น เวลาที่สาวๆ กินก็นิยมกินพร้อมผลไม้สด ซึ่งเลือกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้รสเปรี้ยวหรือรสหวาน

3. Soft – Serve
        ไอติมนมเนื้อเนียนนุ่ม ส่วนผสมจะต่างจากไอติมธรรมดา ความเก๋ของไอติมชนิดนี้อยู่ที่ปริมาณไขมันที่ต่ำกว่าไอติมทั่วไป ไม่ต้องแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ แต่จะนำส่วนผสมใส่เครื่องแล้วบีบใส่โคนหรือถ้วยเสิร์ฟได้เลย ความเก๋อีกอย่างคือเนื้อของไอติมชนิดนี้จะบางและเบา เพราะผ่านการตีในเครื่องจนเนื้อไอติมฟูและมีอากาศอยู่ในเนื้อไอติมอยู่มาก เวลาที่เรากินไอติมซอฟท์เสิร์ฟ 1 ถ้วย ปริมาณเนื้อไอติมจริงๆ จึงน้อยกว่าไอติมทั่วไป จึงจัดเป็นไอติมที่เหมาะกับสาวๆ ที่กำลังไดเอทค่ะ

4. Sorbet
         Sorbet นี่เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกับ Sherbet แค่ชื่อก็คล้ายกันมากๆ แล้ว ยังเป็นไอติมที่กินได้ในช่วงลดน้ำหนักเหมือนกันอีกด้วย โดยชอร์เบทเป็นไอติมที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล อาจมีส่วนผสมของเหล้าหรือกาแฟด้วยก็ได้ แต่ไม่มีส่วนผสมของนมและไข่ขาวเหมือน Sherbet แต่รสชาติอร่อยแถมไม่มีไขมันหรือแคลอรีสูงๆ

         แต่..อย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าไอติมเหล่านี้จะกินได้สบายๆ ในช่วงลดน้ำหนัก แต่ก็ควรคุมให้กินแต่พอดี ไม่ใช่เห็นว่ากินได้เลยซัดโฮกซะเต็มที่ ต่อให้เป็นไอติมที่ไขมันต่ำยังไง ถ้ากินเยอะๆ ก็อาจจะอ้วนได้เหมือนกัน…

 

ที่มา …. Spicy

ประหยัดเวลา

EXERCISE…สูตรประหยัดเวลา

สาว ๆ ที่เป็นแม่บ้าน หรือต้องทำงานบ้านควบคู่กับการทำงานไปด้วยคงจะแอบเซ็งเล็กน้อย ที่วัน ๆ ตื่นขึ้นมา ดูยุ่งเสียเหลือเกิน แถมเวลาในแต่ละวันก็ร่อยหรอลงไปทุกที ไหนจะงานบ้านอีกกระบุงโกย อยากจะออกกำลังกายสัก 5 นาที 10 นาทียังไม่มีเวลาเล้ย…

         อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ ลองปรับกิจกรรมประจำวันของคุณดู จะได้งานและได้ออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

      ท่าที่ 1 – ปัดที่หลับที่นอน

          ไหน ๆ ตื่นเช้ามาก็ต้องปัดที่นอน ตบหมอนไล่ฝุ่นกันอยู่แล้ว มาขยับท่าขยับทางให้ลงตัวสักหน่อย ก็ออกกำลังได้ทุกส่วนสัดแล้วละค่ะ

   เริ่มแรกก็คือ หันหน้าเข้าหาที่นอน แยกขาออกพอประมาณมือข้างซ้ายเท้าสะเอวไว้
มือข้างขวาจับหมอนแล้วชูแขนขึ้นให้สุด เขย่งปลายเท้าข้างซ้าย
จากนั้นลดแขนลงมาใช้หมอนปัดที่นอนไปทางซ้าย ระหว่างนั้นให้เขย่งปลายเท้าข้างขวาตามแรงเหวี่ยงของแขนด้วย (เหวี่ยงแขนให้สุด)
      อ้อ…อย่าลืมทำสลับกันทั้งสองข้างนะคะ

      ท่าที่ 2 – ดูทีวีแบบมีประโยชน์

บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีเวลา แต่ไหงละครมาถึงนั่งดูได้เป็นชั่วโมงล่ะคะ อย่ากระนั้นเลยมาดูทีวีไปด้วยออกกำลังไป ด้วยดีกว่า

      หันซ้ายหันขวายึดผนังตู้ หรือผนังกำแพงพื้นราบเป็นที่ตั้ง แล้วนั่งงอขาให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างชนกัน
จับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างไว้ ยืดหลังตรงเต็มที่ พยายามให้ก้น หลัง และศีรษะชิดกำแพงมากที่สุด พร้อมกับเก็บคางเข้าที่
หายใจเข้าออกช้า ๆ นับ1-10 ในใจแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน
         * จากนั้นเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อใหม่ และทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

      ท่าที่ 3 – นวดคลายเครียดระหว่างอาบน้ำ

          เห็นมั้ยว่าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแค่ไหน ขนาดอาบน้ำก็ยังสามารถบริหารร่างกายได้เลยค่ะ

    สำหรับบ้านที่ไม่มีฝักบัว ก่อนอาบน้ำให้ยืนนิ่ง ๆ สักพัก หายใจเข้าออกช้า ๆ ให้ผ่อนคลาย
จากนั้นใช้ปลายนิ้วมือทั้งสี่ กดลงไปบนกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ แล้วนวดด้วยปลายนิ้วหลาย ๆ ครั้ง จะช่วยลดความตึงเครียดบริเวณท้ายทอยลง
ใช้มือสองข้างปิดตา ให้ฝ่ามือปิดส่วนที่เป็นกระบอกนัยน์ตา ค่อย ๆ ขยับฝ่ามือเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ บริเวณนัยน์ตา กระบอกตา และหน้าผากเบา ๆ
(บ้านที่มีฝักบัวคุณสามารถบริหารไปพร้อม ๆ กับการเปิดน้ำให้ไหลผ่านตั้งแต่ศีรษะลงมาได้เลย…แฮะ แฮะ อาจจะเปลืองน้ำสักหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ)

      ท่าที่ 4 – เครื่องซักผ้ากับท่าสกายคิก

ระหว่างที่รอให้เครื่องซักผ้าจัดการขจัดความสกปรกให้เสื้อผ้าของคุณ มาออกกำลังกันด้วยการใช้เครื่องซักผ้าเป็นอุปกรณ์ น่าสนใจทีเดียวค่ะ

หันหน้าเข้าหาเครื่อง วางมือทั้งสองข้างบนเครื่องซักผ้า เหยียดแขนให้ตึง
จากนั้นยกขาขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วงอขาจากนั้นเหยียดออกไปด้านข้าง (ทำท่าเหมือนเตะลม)
      * สลับเป็นขาข้างซ้ายบ้าง ทำไปสักประมาณ 5-6 ครั้งก็พอค่ะ

          กายบริหารเหล่านี้อาศัยว่าฉกฉวยเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างที่อยู่บ้านมาปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แข็งแรงได้อีกวิธีหนึ่ง และคงจะเป็นทางออกให้สาว ๆ ที่มีเวลาน้อยได้นะคะ

ที่มา … Modern MomEXERCISE…สูตรประหยัดเวลา

สาว ๆ ที่เป็นแม่บ้าน หรือต้องทำงานบ้านควบคู่กับการทำงานไปด้วยคงจะแอบเซ็งเล็กน้อย ที่วัน ๆ ตื่นขึ้นมา ดูยุ่งเสียเหลือเกิน แถมเวลาในแต่ละวันก็ร่อยหรอลงไปทุกที ไหนจะงานบ้านอีกกระบุงโกย อยากจะออกกำลังกายสัก 5 นาที 10 นาทียังไม่มีเวลาเล้ย…

         อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ ลองปรับกิจกรรมประจำวันของคุณดู จะได้งานและได้ออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

      ท่าที่ 1 – ปัดที่หลับที่นอน

          ไหน ๆ ตื่นเช้ามาก็ต้องปัดที่นอน ตบหมอนไล่ฝุ่นกันอยู่แล้ว มาขยับท่าขยับทางให้ลงตัวสักหน่อย ก็ออกกำลังได้ทุกส่วนสัดแล้วละค่ะ

   เริ่มแรกก็คือ หันหน้าเข้าหาที่นอน แยกขาออกพอประมาณมือข้างซ้ายเท้าสะเอวไว้
มือข้างขวาจับหมอนแล้วชูแขนขึ้นให้สุด เขย่งปลายเท้าข้างซ้าย
จากนั้นลดแขนลงมาใช้หมอนปัดที่นอนไปทางซ้าย ระหว่างนั้นให้เขย่งปลายเท้าข้างขวาตามแรงเหวี่ยงของแขนด้วย (เหวี่ยงแขนให้สุด)
      อ้อ…อย่าลืมทำสลับกันทั้งสองข้างนะคะ

      ท่าที่ 2 – ดูทีวีแบบมีประโยชน์

บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีเวลา แต่ไหงละครมาถึงนั่งดูได้เป็นชั่วโมงล่ะคะ อย่ากระนั้นเลยมาดูทีวีไปด้วยออกกำลังไป ด้วยดีกว่า

      หันซ้ายหันขวายึดผนังตู้ หรือผนังกำแพงพื้นราบเป็นที่ตั้ง แล้วนั่งงอขาให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างชนกัน
จับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างไว้ ยืดหลังตรงเต็มที่ พยายามให้ก้น หลัง และศีรษะชิดกำแพงมากที่สุด พร้อมกับเก็บคางเข้าที่
หายใจเข้าออกช้า ๆ นับ1-10 ในใจแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน
         * จากนั้นเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อใหม่ และทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

      ท่าที่ 3 – นวดคลายเครียดระหว่างอาบน้ำ

          เห็นมั้ยว่าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแค่ไหน ขนาดอาบน้ำก็ยังสามารถบริหารร่างกายได้เลยค่ะ

    สำหรับบ้านที่ไม่มีฝักบัว ก่อนอาบน้ำให้ยืนนิ่ง ๆ สักพัก หายใจเข้าออกช้า ๆ ให้ผ่อนคลาย
จากนั้นใช้ปลายนิ้วมือทั้งสี่ กดลงไปบนกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ แล้วนวดด้วยปลายนิ้วหลาย ๆ ครั้ง จะช่วยลดความตึงเครียดบริเวณท้ายทอยลง
ใช้มือสองข้างปิดตา ให้ฝ่ามือปิดส่วนที่เป็นกระบอกนัยน์ตา ค่อย ๆ ขยับฝ่ามือเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ บริเวณนัยน์ตา กระบอกตา และหน้าผากเบา ๆ
(บ้านที่มีฝักบัวคุณสามารถบริหารไปพร้อม ๆ กับการเปิดน้ำให้ไหลผ่านตั้งแต่ศีรษะลงมาได้เลย…แฮะ แฮะ อาจจะเปลืองน้ำสักหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ)

      ท่าที่ 4 – เครื่องซักผ้ากับท่าสกายคิก

ระหว่างที่รอให้เครื่องซักผ้าจัดการขจัดความสกปรกให้เสื้อผ้าของคุณ มาออกกำลังกันด้วยการใช้เครื่องซักผ้าเป็นอุปกรณ์ น่าสนใจทีเดียวค่ะ

หันหน้าเข้าหาเครื่อง วางมือทั้งสองข้างบนเครื่องซักผ้า เหยียดแขนให้ตึง
จากนั้นยกขาขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วงอขาจากนั้นเหยียดออกไปด้านข้าง (ทำท่าเหมือนเตะลม)
      * สลับเป็นขาข้างซ้ายบ้าง ทำไปสักประมาณ 5-6 ครั้งก็พอค่ะ

          กายบริหารเหล่านี้อาศัยว่าฉกฉวยเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างที่อยู่บ้านมาปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แข็งแรงได้อีกวิธีหนึ่ง และคงจะเป็นทางออกให้สาว ๆ ที่มีเวลาน้อยได้นะคะ

ที่มา … Modern Mom

แตงโมเพื่อสุขภาพ

 

สำหรับสาวคนใดที่ชื่นชอบการรับประทานผลไม้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ในประเทศหรือต่างประเทศ แต่มีผลไม้ชนิดหนึ่งที่สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาด นั่นก็คือ…แตงโม

เนื่องจากในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่มีชื่อว่า ‘ไลโคปีน’ (Lycopene) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งในเนื้อแตงโมยังมี ‘เบตาแคโรทีน’ (Beta-Carotene) ซึ่ง เป็นสารที่ร่างกายนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ รวมถึงยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย

นอกจากนี้เปลือกแตงโมยังมีสาร ‘ซิทรูไลน์’ (Citruline) ที่มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดซึ่งเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และสารนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานด้วย สำหรับ ผู้หญิงคนใดที่ต้องการลดความอ้วน แตงโมอาจกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของคุณได้ เนื่องจากแตงโมมีแคลอรี่ต่ำ และยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่ช่วยป้องกันไข้หวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน หรือจะเป็นโพแทสเซียมที่มีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตของร่างกาย

ใครที่เคยเมินเชิดใส่แตงโม ควรรีบเปลี่ยนทัศนคติแล้วหันกลับมาให้ความสนใจในคุณประโยชน์และรสชาติหวานอร่อยของแตงโมอย่างเต็มที่

ที่มา … WomanPlus